RISE LAB: OUR ROASTING APPROACH ON ETHIOPIA HALO BERITI

RISE LAB: OUR ROASTING APPROACH ON ETHIOPIA HALO BERITI

by Kasidis Laoboonmee

RISE LAB ในครั้งนี้ เราจะมาพูดถึง Roasting Approach ของผมกับกาแฟ Ethiopia กันครับ
โดยกาแฟที่จะนำมาคั่วในครั้งนี้ คือกาแฟจาก Washing station ที่มีชื่อว่า Halo Beriti ซึ่งเป็นกาแฟ Floral Forward ที่มีความ Clean และ Balance มากๆ ตัวหนึ่งเลยทีเดียว โดยวันนี้ผมจะมาแชร์และพูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการทำโปรไฟล์คั่วของกาแฟตัวนี้ พร้อมกับวิธีการแก้ไขที่ผมนำไปปรับใช้กับการคั่วของผมให้เพื่อนๆ ได้ฟังกันครับ
โปรไฟล์การคั่ว / Roasting Profile
หลักๆ แล้วการคั่วกาแฟประเภทนี้ผมจะใช้เวลาในการคั่วค่อนข้างเร็วขึ้นนิดนึง เพื่อเก็บจุดเด่นของความเป็น Floral และ Acidity ที่ดีเอาไว้ให้มากที่สุด โดยเราจะใช้ไฟค่อนข้าง Aggressive กว่าปกติ เพื่อลด Total Roast Time ลงมาให้จบเร็วขึ้น ซึ่งอันนี้แหละเป็นข้อได้เปรียบของเครื่องคั่ว Loring ที่มีพลังงานเหลือเฟือ สามารถอัด Max Burner หลัง Turning Point ให้ Max ROR ขึ้นไปถึง 42-45°C/min ได้สบายๆ ก่อนจะตกลงมา ซึ่งตัวเลขนี้ถือว่าสูงมากๆ เมื่อเทียบกับ Traditional Roaster ที่ทำ Max ROR ได้เต็มที่ไม่เกิน 20-25°C/min
การคั่วครั้งแรก / 1st Roasting Attempt
โปรไฟล์แรกที่ผมทำมานั้น คั่วจบในเวลาเพียง 8 นาที 35 วินาที ซึ่งถือว่าเร็วมากๆ เมื่อเทียบกับการนำไปคั่วในเครื่องคั่วตัวอื่นๆ แต่สิ่งที่น่าแปลกใจคือเมื่อนำมาทำ Cupping แล้ว ทั้งๆ ที่กาแฟเป็น Light Roast และมีโน๊ตต้นที่ค่อนข้างดี แต่ท้ายกลับมีรสชาติที่ขมมากๆ ซึ่งหลังจากนั้นอีก 2-3 แบช ไม่ว่าจะปรับ Develop Time หรือ ปรับ End Temp ก็ยังคงเจอปัญหาขมเหมือนเดิม
วิธีแก้ปัญหา / Solution
จากปัญหานี้เอง ผมจึงลองไปหาข้อมูลดู แล้วไปเจอ Q&A เกี่ยวกับ Roasting ที่ Tim Wendelboe พูดถึงการให้ไฟในการคั่วกาแฟของเขา โดย Tim ได้บอกในวิดีโอว่าเขาลองเปลี่ยน Approach การคั่วโดยจะไม่อัด Max Burner หลัง Turning Point ทันทีเหมือนที่หลายๆ คนทำ แต่จะรออย่างน้อย 1 นาทีครึ่ง แล้วค่อยเพิ่ม Burner เพื่อป้องกันไม่ให้กาแฟมีความ Astringent ใน Cup หรือ Roast Defect ที่อาจจะเกิดขึ้นได้
หลังจากที่ได้ฟัง Q&A ผมเลยสันนิฑานว่ากับ Loring ที่มีพลังงานที่สามารถอัดไฟได้ค่อนข้างแรงมากๆ เมื่อเทียบกับเครื่องคั่วอื่นๆ การที่เราพยายามคั่วให้จบเร็วขึ้นโดยเริ่มตั้งแต่การให้ไฟในช่วงแรกที่ Aggressive มากเกินไปนั้น อาจทำให้เกิด External Burning หรือ Scorching ได้ ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุของความขมในกาแฟที่คั่วมาในแบชก่อนๆ ผมจึงลองปรับใช้ % Burner ที่น้อยลงหลัง Turning Point ดู(ทำให้ Max ROR ตกลงมาอยู่ประมาณ 41-42°C/min จาก 44-45°C/min) แล้วพออุณภูมิขึ้นถึง 120°C ค่อยเพิ่ม % Burner ให้แรงขึ้น ซึ่งผลลัพท์ที่ได้คือ Defect ความขมที่เจอในแก้วของแบชก่อนๆ นั้นหายไปเลย โดยโปรไฟล์นี้ First Crack อยู่ที่ 08:10 นาที และใช้เวลา Develop ประมาณ 55 วินาที ก่อน Drop จบที่ 09:05 นาที ผลลัพท์ที่ได้นั้นออกมาเป็นกาแฟที่ Balance มากๆ มีความเป็นผลไม้ฟรุ้งฟริ้งแบบ Blueberry และ Plum อโรม่าแบบ Bergamot และท้ายที่ออกหวานแบบ Vanilla
บทสรุป / Final Takeaways
สรุปได้ว่าการคั่วให้เร็วขึ้น (แต่ต้องระวังกาแฟ Underdevelop) สำหรับกาแฟ Ethiopia นั้นให้ผลลัพท์ออกมาดีมาก แต่ต้องระวังการให้ไฟที่เร็วและแรงจนเกินไปใน Drying Phase ช่วงแรก ควรรอสักพักแล้วค่อยเพิ่ม Burner ให้แรงขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด Roast Defect ที่อาจจะทำให้กาแฟของเราออกมาติดขมได้