เคยสงสัยมั้ยครับว่าถ้าเราใช้เบอร์บดเดียวกัน แต่ปรับความเร็วรอบบดของ Grinder (RPM) ให้ต่างกันจะมีผลต่อ Particle Distribution และรสชาติของกาแฟอย่างไร?

จากที่เราลองเทสการบดกับเจ้า EG-1 ไปโดยใช้เบอร์บดเดียวกัน แต่ปรับ RPM (ความเร็วรอบบด) ให้ต่างกัน

Sample 1 - ความเร็ว 600 RPM

Sample 2 - ความเร็ว 1200 RPM

เมื่อนำเมล็ดไปบดเสร็จแล้วเราจึงนำ sample ที่ได้ไปใส่ Kruve Sifter แล้วเขย่าเพื่อแยก Size ของผงกาแฟออกมาเป็น 3 ขนาดด้วยกันดังนี้

1. ชั้นบน Grind Size หยาบกว่า 1100 μm ขึ้นไป

2. ชั้นกลาง Grind Size ระหว่าง 500-1100 μm

3. ชั้นล่าง Grind Size ละเอียดกว่า 500 μm ลงมา

การแยกออกมาเป็นแต่ละขนาดนั้นเพื่อที่จะมาดูว่า grind distribution ของแต่ละ sample นั้นต่างกันหรือไม่ ซึ่งผลลัพท์ที่ได้นั้นเป็นไปตามที่คาดครับ คือต่างจริง โดยถ้าดูจากตารางในรูปที่ 4 เราจะเห็นได้ว่า Sample 2 - ความเร็ว 1200 RPM นั้นจะมี Fine (ผงที่ละเอียดกว่า 500 ลงมา) เยอะกว่า Sample 1 - ความเร็ว 600 RPM อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสรุปได้ว่า Sample ที่ใช้ความเร็วรอบบดที่ช้ากว่านั้น ให้ average ขนาดผงบดที่หยาบกว่า Sample ที่ใช้ความเร็วรอบบดที่เร็วกว่า

พอมาถึงจุดนี้ คำถามต่อไปคือไม่งั้นการที่เราใช้ RPM ที่เร็วขึ้นก็แค่มีผลทำให้ผงกาแฟที่บดออกมาละเอียดขึ้น ไม่ต่างจากปกติที่เรามาปรับเบอร์บดให้ละเอียดขึ้นแค่นั้นเองหรอ? ไม่งั้น Grinder แบบ Eg-1 จะมีลูกเล่นให้ปรับ RPM ไว้เพื่ออะไร?

ซึ่งพอไปหา Research ของ Barista Hustle (รูปที่ 2) มาอ่านดู จึงได้รู้ว่าการเปลี่ยน RPM เร็วขึ้นไม่ได้มีแค่ effect ที่เหมือนปรับเบอร์บดละเอียดขึ้นเท่านั้น แต่พอนำไปทดลองเพิ่มเติมโดยการบดออกมาเทียบ Shot time ให้ Match กัน Sample ที่ใช้ RPM ต่ำกว่ากลับสามารถ Extract ได้มากกว่า Sample ที่ใช้ RPM ที่สูงกว่า (รอบบดเร็วกว่า) ทั้งๆที่จริงๆแล้วควรจะเท่ากัน ซึ่งเป็นเรื่องน่าแปลกใจมาก

โดยจาก Findings ทั้งหมดนี้เราจึงสรุปได้ว่า Optimal Condition ของ Grinder ที่ปรับความเร็วได้อย่าง Eg-1 นั้นคือการใช้ Low Speed RPM และใช้ High Precision Burr เพื่อจะให้ได้ Grind Distribution ที่เท่ากันมากที่สุด และสามารถ brew ออกมาให้ได้ Extraction ที่สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้นั่นเอง